วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2559

อิตาลี เวนิสเมืองแห่งสายน้ำ

อิตาลี เมืองเวนิส (Venice)

เมืองเวนิส (Venice) หรือ เมืองเวเนเซีย (Venezia) หนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดในประเทศอิตาลี เป็นเมืองที่รู้จักกันในด้านของความเจริญรุ่งเรืองทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ที่ได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก (Queen of the Adriatic), เมืองแห่งสายน้ำ (City of Water), เมืองแห่งสะพาน (City of Bridges), และ เมืองแห่งแสงสว่าง (The City of Light)... โดยเมืองเวนิส นั้นเป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต (Veneto) 1 ใน 20 แคว้นที่ตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 8 ของประเทศ เป็นแคว้นที่มีความมั่งคั่งและเป็นแหล่งอุตสาหกรรมมากที่สุดในประเทศอิตาลี และยังเป็นแคว้นหนึ่งที่มีนักท่องเที่ยวมามากที่สุดแห่งหนึ่ง



 เมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมหมู่เกาะขนาดเล็กประมาณ 118 เกาะเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย (Venetian Lagoon) ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ (Po and the Piave Rivers) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก (Adriatic Coast) ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี โดยทั้งเมืองและทะเลสาบได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1987

เกาะซานจอร์โจ แมกจอเร


          เนื่องจากว่าพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองเวนิสนั้นถูกโอบล้อมไปด้วยผืนน้ำอันกว้างใหญ่ การคมนาคมภายในเมืองเวนิสจังนิยมใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด โดยมีเรือบริการในการเดินทางไปในที่ต่างๆของเมืองมีการบริการท่องเที่ยวชมทิวทัศน์ธรรมชาติของ 2 ฝั่งคลองโดยทางเรือ นับเป็นเมืองที่คลองมากกว่าถนนอีกเมืองหนึ่งของโลก โดยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนจะได้ชื่นชมความงดงามของเหล่าอาคาร ร้านค้า รวมไปถึงบ้านเมืองที่ตั้งอยู่ตลอดสองฝั่งคลองที่ไหลคดเคี้ยวไปทั่งเมืองอีกด้วย สำหรับการท่องเที่ยวในเมืองเวนิสนั้น สถานที่ท่องเที่ยวหลักๆ เกาะซานจอร์โจ แมกจอเร (San Giorgio Maggiore) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ เปียซซ่า ซาน มาร์โก (Piazza San Marco) หรือ จัตุรัสเซนต์มาร์ค(St Mark's Square) จัตุรัสสาธารณะหลักที่เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส

โบสถ์ซานจอร์โจ แมกจอเร



          สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงเป็นอันดับต้นๆของเกาะซานจอร์โจ แมกจอเรคือ โบสถ์ซานจอร์โจ แมกจอเร (Church of San Giorgio Maggiore) คริสตจักรนิกายเบเนดิกในศตวรรษที่16 ซึ่งมีชื่อเดียวกับกันเกาะ โดยโบสถ์สร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวในสไตล์คลาสสิกและยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา หรือในช่วงระหว่างปี 1566 - 1610 ได้รับการออกแบบโดย Andrea Palladio

มหาวิหารเซนต์มาร์ค






          มหาวิหารเซนต์มาร์ค (St Mark's Basilica ) อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ตั้งอยู่บนเปียซซ่า ซาน มาร์โก เป็นมหาวิหารนิกายโรมันคาทอลิกอัครสังฆมณฑลแห่งเวนิส (Roman Catholic Archdiocese of Venice) เป็นมหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเมืองเวนิส และยังเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ดีที่สุดของมหาวิหารที่สร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมไบเซนไทน์  มหาวิหารเซนต์มาร์ค ตั้งอยู่บริเวณด้านตะวันออกของเปียซซ่า ซาน มาร์โก ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่นักบุญมาร์ค ผู้ซึ่งเป็นที่นับถือในเวนิส ในฐานะนักบุญผู้เผยแผ่ศาสนาที่อิยิปต์ และถูกประหารชีวิต จุดเด่นของโบสถ์ที่ซานมาร์โคอยู่ที่การมีโดมถึง 5 โดม ได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะที่แตกต่างกัน ทางด้านหน้าได้รับการประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญมาร์ค และรูปปั้นม้าบรอนซ์ 4 ตัว ซึ่งว่ากันว่าขโมยมาจากกรุงคอนสแตนติโนเปิล

หอระฆังเซนต์มาร์ค






           หอระฆังเซนต์มาร์ค (St Mark's Campanile) หนึ่งในสัญลักษณ์ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดของเมืองเวนิส โดยหอระฆังตั้งอยู่ใกล้ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์มาร์ค โดยหอระฆังมีความสูงประมาณ 98.6 เมตร (323 ฟุต) ปัจจุบันหอระฆังแห่งนี้ได้กลายเป็นจุดชมวิวที่สำคัญและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวมากแห่งหนึ่งของเมืองเวนิส

ปาลาซโซ ดูคาเล่





           ปาลาซโซ ดูคาเล่ (Palazzo Ducale) หรือ พระราชวังดอดจ์ (Doge's Palace)พระราชวังที่สร้างขึ้นในแบบเวนีเชี่ยนโกธิค (Venetian Gothic style) โดยพระราชวังถูกใช้เป็นสถานที่พำนักของผู้ปกครองเวนิส และต่อมาถูกเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ในปี 1923 โดยพิพิธภัณฑ์ดำเนินการโดย Fondazione Musei Civici di Venezia

แกรนด์คาแนล (เวนิส)





          แกรนด์คาแนล (เวนิส) (Grand Canal (Venice) คลองที่มีชื่อเสียงในด้านการท่องเที่ยวและเป็นจุดหมายปลายทางหลักของนักท่องเที่ยวที่อยากล่องเรือกอนโดล่า หรือที่เราเรียกกันว่าเรือแจว ลัดเลาะไปตามคลองที่มีความยาวประมาณ 3,800 เมตร และมีความกว้างประมาณ 30-90 เมตร นักท่องเที่ยวจะได้ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆต่างๆของเวนิสมากมาย โดยจุดแรกที่จะได้ชมคือ โบสถ์ซานตา มาเรีย เดลลา ซาลูท (Santa Maria della Salute) โบสถ์เก่าแก่ที่ตั้งโดดเด่นอยู่ที่ปากทางเข้าแกรนด์คาแนล เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่จัดว่าเป็นสัญลักษณ์ของเวนิส โบสถ์แบบบาโร้กขนาดใหญ่แห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อขอบคุณพระเจ้าในโอกาสที่โรคระบาดได้หายไปจากเวนิสในปี ค.ศ. 1630 จนกระทั่งแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1687 ห้าปีหลังจากผู้ริเริ่มสร้างโบสถ์ได้เสียชีวิ

สะพานซิงห์


          สะพานซิงห์ (Bridge of Sighs) สะพานเก่าแก่ที่เชื่อมต่อระหว่างวังดูคาเลกับคุกเก่า เป็นเส้นทางลำเลียงนักโทษเข้าสู่ตัวคุก ออกแบบโดย Antoni Contino ในปี ค.ศ.1602 สร้างมาจากหินปูนสีขาว มีช่องหน้าต่างให้มองออกมาได้ เพื่อให้นักโทษได้ชมความสวยงามของท้องฟ้า และทะเลแห่งเวนิสเป็นครั้งสุดท้ายในชีวิต โดยชื่อ Lord Byron ได้ตั้งชื่อว่าสะพานซิงห์ ในศตวรรษที่ 19 เนื่องมาจากนักโทษจะได้ถอนหายใจเป็นครั้งสุดท้ายที่ สะพานแห่งนี้นั่นเอง
 ***เรือกอนโดลา อีกสัญลักษณ์หนึ่งของเวนิส มีความเชื่อมาว่า ถ้าคู่รักได้จูบกัน เมื่อตอนระฆังปาไนล์ดังตอนเย็น ขณะลอดข้ามสะพานถอนหายใจ ถือว่าคนนั้นจะรักกันยืนนาน***

สะพานริอัลโต


           สะพานริอัลโต (Rialto) เดิมทีเป็นสะพานไม้ และสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 หลังจากที่พังทลายลง สะพานหินก็ถูกสร้างขึ้นทดแทน และเป็นสะพานข้าม Grand Canal เพียงแห่งเดียวจนถึงปี ค.ศ. 1854 จนกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคม และค้าขายแลกเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเวนิส ใครที่มาเวนิสแล้วไม่ได้มาข้ามสะพานนี้ถือว่ามาไม่ถึง เป็นจุดถ่ายภาพที่สำคัญแห่งหนึ่ง รอบๆ สะพานเป็นย่านขายของที่ระลึกและตลาดขายของสด


อ้างอิงจาก http://minichohyun.blogspot.com/2014/09/venice.html

วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การออกแบบและพัฒนา>>นวัตกรรม


การออกแบบและพัฒนานวัตกรรม

การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 และการมีส่วนร่วมของนักเรียน
นวัตกรรมที่ 1 การทำให้เห็นภาพ
คนเรียนรู้จากภาพกับ
ข้อความและเสียงรวมกัน
ได้ดีกว่า
การเรียนรู้ผ่านทางใดทางหนึ่งเดียงอย่างเดียว
การออกแบบการเรียนรู้ต้องเป็นไปตาม
หลักการของสื่อผสมหรือมัลติมีเดีย

หลักการ 7 ข้อเกี่ยวกับมัลติมีเดีย
-หลักของมัลติมีเดีย: เมื่อใช้ทั้งคำ (เสียงหรือข้อความ) และภาพรวมกัน นักเรียนจำได้ดีมากกว่าการใช้คำเพียงอย่างเดียว แต่ทั้งนี้เนื้อหาต้องไม่ซ้ำซ้อนกัน
-หลักการของพื้นที่ต่อเนื่อง: เมื่อนำข้อความและภาพที่เกี่ยวข้องมารวมไว้ในที่เดียว นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าเวลาที่เนื้อหาอยู่แยกกันคนละพื้นที่
-หลักการของเวลาต่อเนื่อง: เมื่อนำข้อความและภาพที่เกี่ยวข้องมาประสานในจังหวะเวลาเดียวกัน นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าเวลาที่เนื้อหาแสดงต่างช่วงเวลากัน
-หลักการของการแยกความสนใจ: เมื่อตัดคำ ภาพ และเสียงที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าเวลาที่รวมสิ่งเหล่านั้นเข้ามา
-หลักของรูปแบบ: เมื่อนำเสนอเนื้อหาในรูปของการบรรยายด้วยเสียง นักเรียนจะเรียนรู้ได้ดีกว่าเวลานำเสนอในรูปของข้อความบนหน้าจอ
-หลักของความแตกต่างระหว่างบุคคล: การออกแบบโดยอาศัยหลักการเหล่านี้ส่งผลต่อผู้มีความรู้น้อยได้มากกว่าผู้มีความรู้ดี และยิ่งส่งผลมากขึ้นต่อคนที่ถนัดด้านมิติสัมพันธ์มากกว่าคนที่ไม่ถนัด
-หลักของการควบคุมโดยตรง: เมื่อสื่อการสอนเริ่มซับซ้อนขึ้น การควบคุมสื่อการสอนโดยตรง (ภาพเคลื่อนไหว จังหวะการนำเสนอ) จะส่งผลต่อการถ่ายทอดเนื้อหามากขึ้นเช่นกัน

การเรียนรู้ที่ใช้หลายรูปแบบ (ใช้ข้อความหรือเสียงและภาพผสมกัน) สามารถเพิ่มผลสัมฤทธิ์ได้หากใช้หลักการของมัลติมีเดีย
-การวิเคราะห์เชิงอภิมาน (meta-analysis) พบว่า
ถ้าเป็นการเรียนรู้ที่ใช้หลายรูปแบบ แต่โต้ตอบไม่ได้ (เช่นข้อความมีภาพประกอบ หรือการบรรยายพร้อมภาพกราฟิก)
นักเรียนที่เคยได้เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 จะเปลี่ยนเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 71 แต่ถ้าเป็นการเรียนผ่านกิจกรรมหลายรูปแบบที่มีการโต้ตอบ เช่น การจำลองสถานการณ์ การสร้างโมเดล และประสบการณ์จริง นักเรียนที่เคยได้เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 จะเปลี่ยนเป็นเปอร์เซ็นไทล์ที่ 82

กลยุทธ์ 3 ด้านในการใช้เทคโนโลยีเพื่อดึงประโยชน์จาก การทำให้เห็นภาพและเพื่อให้นักเรียนอ่านภาพออก
1.พัฒนานักเรียนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารที่รู้เท่าทัน
2.ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคิดเชิงวิพากษ์และการคิดสร้างสรรค์โดยใช้ภาพ
3.ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสื่อสารด้วยภาพ

พัฒนานักเรียนให้เป็นผู้บริโภคข้อมูลข่าวสารที่รู้เท่าทัน
วิธีการพัฒนานักเรียน
-ให้นักเรียนรู้จักวิเคราะห์วิธีที่นักโฆษณาตกแต่งรูปภาพ คลิกอ่านเพื่อศึกษา 30 เทคนิคออกแบบภาพ Print Ads อย่างสร้างสรรค์
-ผู้บริโภคที่รู้เท่าทันย่อมตระหนักว่าภาพสามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์ จิตใจ ร่างกาย และการรับรู้ เราจึงควรตีความสื่อให้เหมาะสม

ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการคิดเชิงวิพากษ์และการคิดสร้างสรรค์โดยใช้ภาพ
-การทำให้เห็นภาพเป็นเครื่องมือพิเศษสำหรับการคิดเชิงวิพากษ์และการคิดสร้างสรรค์
-เครื่องมือหนึ่งที่น่าสนใจและใช้ได้ฟรีอยู่ในเว็บไซต์ Gapminder
www.gapminder.org
Gapminder เป็นเครื่องมือสำหรับดูการเปลี่ยนแปลงของโลกในด้านต่างๆ เช่น จำนวนประชากร,เศรษฐกิจ ปริมาณการใช้มือถือ และอื่นๆ ตั้งแต่ปี 1960 พัฒนาโดย Trendalyzer
www.gapminder.org
- เครื่องมือนี้จะแสดงข้อมูลเป็นภาพ โดยใช้ข้อมูลจากสหประชาชาติ ซึ่งประกอบด้วยลักษณะประชากร สุขภาพ พลังงาน การเมือง ความมั่นคง และสถิติสำคัญอื่น ๆ ทั่วโลก
- แต่ละประเทศแสดงด้วยจุดบนหน้าจอ แต่ละทวีปมีสีไม่ซ้ำกัน
- ผู้ใช้จะกำหนดชุดข้อมูลที่ต้องการลงจุดในแต่ละแกน จากนั้นเครื่องมือจะแสดงการเปลี่ยนแปลงสถานะของประเทศต่าง ๆ ในแต่ละปี
-ผู้เรียนที่กำลังสำรวจข้อมูลที่แปลงเป็นภาพนี้จะเริ่มตั้งคำถามทันทีว่า เพราะเหตุใดการกลับทิศของแนวโน้มจึงเกิดขึ้นเฉพาะบางปี และปัจจัยอะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้ช่วยเปิดโอกาสมากมายสำหรับนักเรียนในการคิดและการแก้ปัญหา

ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสื่อสารด้วยภาพ
การตีความจากภาพ
-เข้าใจวิธีสร้างภาพเพื่อสื่อสารความคิดของตน การนำเสนอข้อมูล และการเล่าเรื่อง เช่น แผนภูมิควรจะเป็นไปตามหลักของพื้นที่ต่อเนื่อง นั่นคือ     ถ้าเป็นไปได้ควรรวมข้อความไว้ในแผนภูมิแทนที่จะใช้คำอธิบายสัญลักษณ์ เพราะสมองต้องทำงานมากขึ้นในการมองกลับไปกลับมา

มาตรฐานหลักในการออกแบบภาพ
ความแตกต่าง
-เหตุผลที่ใช้ความแตกต่างคือเพื่อในแน่ใจว่าองค์ประกอบแต่ละอย่างของการออกแบบภาพมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ความแตกต่างจะพึงดูดสายตา ทำให้ผู้อ่านสนใจ เช่น ขนาดอักษรที่แตกต่างกัน
ตัวอักษรขนาด
20 พอยต์                28 พอยต์                36 พอยต์
การปรากฏซ้ำๆ
องค์ประกอบที่ปรากฏซ้ำ ๆ ในงานออกแบบจะเพิ่มความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของชิ้นงาน เทคนิคการปรากฏซ้ำสามารถใช้กับฟอนต์ รูปร่าง สี ความหนา ความสัมพันธ์เชิงพื้นที่ และองค์ประกอบอื่น ๆ

การจัดตำแหน่ง
ตำแหน่งที่องค์ประกอบต่าง ๆ ถูกจัดวางบนหน้าเว็บจะควบคุมทิศทางสายตาผู้อ่าน ดังนั้นองค์ประกอบแต่ละอย่างควรเชื่อมต่อกับองค์ประกอบทางสายตาอื่น ๆ เช่น หัวข้อด้านบนภาพ
ธรรมชาติของการอ่านจากซ้ายไปขวา (ภาษาอังกฤษ, ภาษาไทย) เคลื่อนไหวซ้ำ ๆ

ความใกล้ชิด
สายตาคนเราชอบภูมิทัศน์ที่เรียบง่ายสบายตา หากเป็นไปได้สิ่งที่เกี่ยวข้องกันควรถูกจัดวางอยู่ใกล้กัน เพื่อให้เห็นว่าเป็นองค์ประกอบเดียวกันของภาพ ทำให้โครงสร้างไม่รกตา ช่วยจัดระเบียบข้อมูลให้ผู้อ่าน และกำจัดสิ่งรบกวนทางสายตา

นวัตกรรมที่ 2 การทำความรู้ให้เป็นประชาธิปไตย
อินเทอร์เน็ตเปิดโอกาสให้คนเรียนรู้ตลอดชีวิต
ในสภาพแวดล้อมแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ทั้งในระดับบุคคลและระดับกลุ่ม
ระบบนิเวศของการเรียนรู้กำลังพัฒนาต่อไป มีการเรียนรู้นอกระบบในระดับบุคคลระดับวิชาชีพ ระดับครอบครัว ระดับการงาน และระดับชุมชน ตามความต้องการ ผลประโยชน์ และความรับผิดชอบ

การท่องอินเทอร์เน็ต
-การรู้จักใช้ข้อมูล
-การค้นหาข้อมูลอย่างรู้จักใช้
-สำรวจเว็บที่เห็นและที่ยังไม่เห็น
-วิพากษ์วิจารณ์เว็บไซต์เพื่อตรวจสอบความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล
-พยายามค้นหาข้อมูลอย่างสมดุลและครบถ้วน

วัตถุการเรียนรู้
เป็นทรัพยากรที่สมบูรณ์ในตัวเอง สามารถใช้ซ้ำเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ได้
-ยุคแรก 
-วัตถุเสมือน
-ยุคปัจจุบัน                           
-วิดีโอบนยูทูบ ไฟล์เสียง วิดีโอสำหรับไอพอด เว็บไซต์แบบโต้ตอบ สไลด์ที่มีคำบรรยาย ฯลฯ

การจำลอง
-นักเรียนจะเรียนรู้ได้ลึกซึ้ง เมื่อสามารถทดลองปรับตัวแปรต่าง ๆ ในแบบจำลอง ตัวอย่างเช่น เครื่องมือยุคใหม่ที่ชื่อ Yenka
-ดูการจำลองในเว็บไซด์  http://www.yenka.com/

วิชาเรียนที่เผยแพร่ในมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัย เริ่มมีการเผยแพร่วิชาเรียนทางออนไลน์ สู่สาธารณชนมากขึ้น  iTunes University ซึ่งเป็นทรัพยากรอีกแหล่งหนึ่งที่นักเรียนสามารถเข้าถึงวิชาเรียนแบบดิจิทัลของมหาวิทยาลัย รวมถึงการบรรยายและการสัมภาษณ์ต่าง ๆ

วิชาเรียนออนไลน์สำหรับครูและนักเรียนระดับก่อนอุดมศึกษา
-การเรียนรู้ออนไลน์ของครูและนักศึกษาระดับก่อนอุดมศึกษา เป็นการเรียนรู้ที่เติบโตเร็วที่สุดในบรรดาเทคโนโลยี-การศึกษาต่าง ๆ
-การเรียนออนไลน์สามารถตอบสนองความต้องการที่หลายหลายของผู้เรียน
-การเข้าถึงวิชาเรียนทางออนไลน์เป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับนักเรียนที่กำลังมองหาทางเลือก

บทเรียนวิชาออนไลน์
-การเรียนรู้ทางออนไลน์เพื่อเสริมการเรียนการสอนในห้องเรียน
-บางกรณีใช้บทเรียนออนไลน์เป็นส่วนหนึ่งของวิชา

นวัตกรรมที่ 3 การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
ทุกวันนี้โรงเรียนมุ่งเน้นไปที่การรับความรู้
ของนักเรียนเป็นรายบุคคล
ทั้งที่ในความเป็นจริง สังคม ชุมชน
และโลกของการทำงานต่างเน้นเรื่อง
ความร่วมมือ
การทำงานเป็นทีม และ
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม
-รูปแบบทางสังคมใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นประวัติการณ์ ตัวอย่างหนึ่งที่เป็นนวัตกรรม คือ การใช้เฟซบุ๊ก ยูทูปให้นักเรียนสนใจเรื่องตารางธาตุ คลิกเพื่อดูตัวอย่าง เพลงตารางธาตุ ที่โรงเรียน High Tech Middle ในซานดิเอโก นักเรียนสร้างเครือข่ายสังคมเพื่อแสดงอัตลักษณ์ของตนโดยเปรียบเทียงกับธาตุต่าง ๆ ครูขอให้นักเรียนแจกแจงลักษณะนิสัยของตนเอง ระบุคุณลักษณะของธาตุต่าง ๆ แล้วเลือกธาตุที่มีคุณลักษณะตรงกับนิสัยของตนเองมาที่สุด

นวัตกรรมทั้ง 3
-วิสัยทัศน์ – โรงเรียนของคุณมีการคิดไปข้างหน้า อันเป็นวิสัยทัศน์ทั่วไปของศตวรรษที่ 21 ซึ่งมองนวัตกรรมทางสังคมว่าเป็นพลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
-การคิด/ การเป็นผู้นำอย่างเป็นระบบ – นักการศึกษาและบุคลากรทั้งหมดกำลังคิดและปฏิบัติอย่างเป็นระบบโดยสอดคล้องกับวิสัยทัศน์หรือไม่
-ทักษะและการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 – วิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ถูกใช้ภายใต้กลยุทธ์ทางการศึกษาที่อิงจากงานวิจัยหรือไม่
-สภาพแวดล้อมของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 – วิสัยทัศน์ของการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 เกิดขึ้นจริงในโรงเรียนของคุณหรือไม่
-ศักยภาพของบุคลากร – ครู ผู้บริหาร และบุคลากร พร้อมหรือไม่ที่จะอำนวยความสะดวก นำและประเมินการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 แก่นักเรียน ชุมชน และผู้ปกครอง
-โครงสร้างพื้นฐานและการเข้าถึง – การเข้าถึงเครื่องมือทางเทคโนโลยีและโครงสร้างพื้นฐานของโรงเรียนเพียงพอที่จะสนับสนุนการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 หรือไม่
-ภาวะรับผิดชอบ – นักเรียน นักการศึกษา และระบบสามารถรับผิดชอบในการสร้างความก้าวหน้า พร้อมกับให้ข้อมูลและการสนับสนุนเพื่อให้บรรลุผลหรือไม่

การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา การวิจัยและพัฒนา R&D
ขั้นที่ 1 การสร้างและหาประสิทธิภาพ
                -ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
                -ยกร่างนวัตกรรม (สื่อ วิธีการสอน หลักสูตร การวัดและการประเมิน และกระบวนการบริหาร)
                -เสนอผู้เชี่ยวชาญ
                -ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง/เป้าหมาย 1, 2,…….
                -ถ้าเป็นสื่อการสอน (อาจจะหาประสิทธิภาพ E1/E2 หรือ The 90/90) standard  
ขั้นที่ 2 ศึกษาผลการนำไปใช้
                -นำไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง/กลุ่มเป้าหมาย
                -ทำการทดสอบผลและประเมินผลการใช้ โดยอาจจะ
                                เปรียบเทียบก่อนใช้ และหลังใช้ (ใช้ t-test แบบ t-pair)
                                เปรียบเทียบกับเกณฑ์ที่กำหนด (ใช้ t-test แบบ one-sample)

ขั้นที่ 3 ประเมินผล
                ใช้แบบวัดความพึงพอใจ แบบวัดทัศนคติ แบบวัดความคิดเห็น หรือใช้รูปแบบประเมินใด ๆ เพื่อการประเมินผลการใช้นวัตกรรมนั้น

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทางการศึกษาที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้


เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทางการศึกษาที่ส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
ICT เปลี่ยนแปลงโลกการศึกษา
1. ลดช่องว่างการแข่งขันระหว่างองค์กรหรือสถาบันการศึกษาทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
2. ทำให้องค์กร/สถาบันการศึกษาขนาดใหญ่ต้องปรับตัวทั้งในด้านการบริหาร การจัดการองค์กร รวมไปถึงวิธีดำเนินการ
3. ก่อให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจการศึกษามากขึ้น
4. สร้างช่องทางการขยายการศึกษามากขึ้น
5. เกิดการทำงานภายใต้หลักการ “การศึกษา 24 ชั่วโมง” ผู้เรียนสามารถทำกิจกรรมทางการศึกษาตลอดเวลา      
6. สร้างรูปแบบของความร่วมมือทางการศึกษาหรือเครือข่ายการศึกษาที่หลากหลายขึ้น
7. ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งภายในองค์กรและภายนอกองค์กร ให้เกิดแรงผลักดันในการจัดการศึกษารูปแบบแปลกใหม่มากขึ้น

ICT เอื้อประโยชน์ต่อห้องเรียน
1. เป็นตลาดการศึกษาที่ผู้เรียนสามารถเลือกซื้อสินค้าความรู้และบริการการศึกษาจากแหล่งต่างๆ ได้ทั่วโลก
2. สามารถคัดเลือกและเปรียบเทียบคุณภาพราคา และช่วยประหยัดเวลาเนื่องจากไม่ต้องเดินทาง (ขณะนี้มีเว็บไซต์บริการให้เข้าศึกษาก่อนจ่ายเงินทีหลัง)
3. สามารถรับข้อมูลการศึกษาที่เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจหลากหลายแง่มุม เช่น รายละเอียดของหลักสูตร ข้อมูลอาจารย์ผู้สอน รวมถึงยังสามารถให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับ การจัดการศึกษานั้นๆ ได้โดยตรงอีกด้วย
4. ได้รับความสะดวกในการศึกษา เพราะสามารถนั่งศึกษาอยู่ที่บ้านหรือที่ใด ๆ ได้ทั่วโลกที่มีอินเทอร์เน็ต

เทคโนโลยีสารสนเทศ IT
-การสอนใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
-สื่อประสม การใช้ตัวอักษร ภาพ ภาพเคลื่อนไหว และเสียงในการเรียนการสอน
-ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์
-ระบบสารสนเทศในการประมวลผล และจัดการข้อมูลภายใน
-ระบบฐานข้อมูล
-ระบบข่ายงานโดยใช้ระบบอินเทอร์เน็ต

อินเทอร์เน็ตและเวิลด์ไวด์เว็บ
-ทำให้ทุกคนมีโรงเรียนที่ดี ครูที่มีความสามารถ และวิชาเรียนที่น่าสนใจสำหรับผู้เรียนทุกคนไม่จำกัดวัยและสภาพ
-นำข้อมูลจากห้องสมุดทั่วโลกมาใช้ในการเรียนและวิจัยได้โดยรวดเร็ว
-จัดประชุมทางไกลโดยเห็นภาพและเสียงของผู้เข้าร่วมประชุมทั่วโลกได้
-แพทย์ใช้ในการรักษาคนไข้ทางไกล หรือให้คำแนะนำได้
-ทำงานที่บ้านได้โดยไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง
-ซื้อสินค้า โอนเงินเข้าธนาคาร ฯลฯ

การใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์เพื่อการศึกษา
>>ทวิตเตอร์กับการเรียนการสอน
   จากการจัดอันดับของเครื่องมือสารสนเทศที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการเรียนการสอนพบว่าทวิตเตอร์เป็นเครื่องมืออันดับหนึ่งในปี พ.ศ. 2552 ด้วยเหตุผลดังนี้
    - ทวิตเตอร์ทำให้ข่าวสารและข้อมูลแพร่กระจายไปสู่คนหมู่มากได้อย่างรวดเร็ว
    - ทวิตเตอร์ช่วยทำให้ ทั้งให้และรับได้อย่างรวดเร็วรวมทั้งสามารถแลกเปลี่ยนการสนทนาความคิดกับผู้อื่นที่มีความสนใจได้ดี
    - ข้อความในทวิตเตอร์สั้นทำให้ได้รับข้อมูลที่ไม่ยาวเกินความจำเป็น
    - มีแอพที่ทำให้การเข้าถึงทวิตเตอร์และการเผยแพร่ข้อมูลที่ทวิตเตอร์ง่าย เช่น Google Chrome, Firefox ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทำให้หัวข้อฟีดไปแสดงที่บัญชีทวิตเตอร์โดยอัตโนมัติ

Facebook
1.การพัฒนาด้านภาษาซึ่งครูผู้สอนและผู้เรียนจำเป็นต้องใช้เฟซบุ๊กในการติดต่อสื่อสารและแสดงความเห็นต่างๆ เกี่ยวกับวิชาที่เรียนบนเฟซบุ๊ก ทั้งนี้ การใช้ เฟซบุ๊กเป็นประจำในการเขียนและอ่านข้อความต่างๆ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกการเขียน การสะกดคำ และการใช้ไวยากรณ์ที่ถูกต้อง
2. การสื่อสารระหว่างบุคคลซึ่งเป็นสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูผู้สอนกับครูผู้สอน ระหว่างครูผู้สอนกับผู้เรียน และผู้เรียนกับผู้เรียนในการติดต่อสื่อสารและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ร่วมกัน รวมถึงสนับสนุนให้ผู้เรียนกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นต่างๆ มากยิ่งขึ้น
3. การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มซึ่งเฟซบุ๊กเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เปิดโอกาสให้ ผู้เรียนผู้ใดผู้หนึ่งจะต้องรับผิดชอบงานที่ได้รับมอบหมายร่วมกับผู้เรียนผู้อื่นเป็นกลุ่ม ซึ่งเป็นการฝึกทักษะการเป็นผู้นำและการเป็นผู้ตาม
4. เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

Cloud computing บทบาทในวงการการศึกษา มีสาเหตุจาก
- ความนิยมการสื่อสารทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยชีวิตของเด็กรุ่นใหม่ได้เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตอย่างแยกจากกันไม่ได้
- กระแสลดภาวะโลกร้อน ผสานกับความต้องการประหยัดงบประมาณที่เกี่ยวข้อง
- การใช้งานที่ง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน ด้วยแนวคิดการออกแบบในยุค Cloud computing ที่เน้นการใช้งานในภาพรวมของกลุ่มคนส่งผลให้ระบบติดต่อผู้ใช้ ฟังก์ชันการใช้งานมีระบบที่ง่าย สะดวก ไม่ซับซ้อน ซึ่งสร้างแรงจูงใจให้ทุกคน ทุกวัยมีความสนุกกับการใช้ไอที

บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศต่อการศึกษา
-ช่วยในเรื่องการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือสนับสนุนการเรียนรู้หลายด้าน มีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) ระบบสนับสนุนการรับรู้ข่าวสาร เช่น การค้นคว้าหาข้อมูลข่าวสารเพื่อการเรียนรู้ใน World Wide Web เป็นต้น
-ช่วยสนับสนุนการจัดการศึกษา โดยเฉพาะการจัดการศึกษาสมัยใหม่ที่จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพื่อการวางแผน การดำเนินการ การติดตามและประเมินผล ดังนั้น ICT จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญ
-เทคโนโลยีสารสนเทศกับการสื่อสารระหว่างบุคคล เช่น การสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียนกับผู้เรียน โดยใช้ IT ในการดำเนินงาน เช่น การใช้โทรศัพท์ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ คอนเฟอเรนซ์ เป็นต้น

การสร้างสภาพแวดล้อมที่ใช้เป็นฐานการจัดการเรียนรู้
วารสารนานาชาติ CEEOL (Informatics Education-an International Journal, Issue Vol 5/2006) รายงานว่า การสอนของครู และการเรียนรู้ของนักเรียนที่ไม่สอดคล้องกันมีผลให้นักเรียนเครียดไปจนถึงล้มเหลวในการเรียนรู้ ความสมดุลระหว่างรูปแบบการสอนของครูและการเรียนของนักเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อมีการเน้นกระบวนการเรียนรู้เป็นรายบุคคล การเรียนโดยใช้ ICT เป็นฐาน จึงเป็นโอกาสที่ดี ที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีทางเลือกในการเรียนรู้ได้หลายทาง

การเรียนรู้โดยไม่มีการสอน
ชีวิตจริงมีการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการอยากเรียนอยากรู้ด้วยตนเองในสิ่งที่อยากรู้จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ หากรู้ความต้องการที่แท้จริงของนักเรียนที่สอดคล้องกับเนื้อหาสาระตามหลักสูตร แล้วจัดแหล่งเรียนรู้ ตลอดจนระบบอินเทอร์เน็ตไว้พร้อมบริการได้เสมอ จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้โดยไม่ต้องสอน หรือสอนแบบพบปะในห้องเรียนน้อยลง
หลักการสำคัญ
     1) ครูเป็นผู้นำส่งข้อมูลใหม่ ๆ กระตุ้นให้นักเรียนทำงาน เรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่กำหนดไว้
     2) การให้ความรู้ที่นักเรียนต้องการจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ดีกว่าการให้ความรู้ในสิ่งที่ครูต้องการ
     3) นักเรียนเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้ฟัง เป็นผู้ลงมือปฏิบัติเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง
     4) การใช้เวลาในการทำงาน หรืออ่านในสิ่งที่สนใจ จะช่วยให้เกิดการเรียนรู้ดีกว่าการฟังครูพูด

การใช้งานเป็นฐานการเรียนรู้
การนำงานมาเป็นศูนย์กลาง หรือเป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาโดย N Prabhu จากประเทศอินเดีย ที่เกิดจากแนวคิดที่ว่า นักเรียนจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพหากจิตใจแน่วแน่อยู่ที่งานที่ทำมากกว่าที่จะแน่วแน่อยู่ที่ภาษาที่ใช้ แบบแผนการใช้งานเป็นฐาน Jane Willis ได้ให้หลักการ PPP (Presentation, Practice, Production) ที่นักเรียนจะเริ่มต้นด้วยการทำงาน เมื่อทำเสร็จแล้วครูจะชักนำสู่การแก้ไข ปรับแต่ง
>>Jane Willis ได้เสนอกรอบแนวคิดเชิงกระบวนการไว้ 3 ประการ ได้แก่
-นำเข้าสู่บทเรียนโดยหัวข้อเนื้อหาสาระ และงานที่จะมอบหมายให้ทำ
-วางแผน ทำงาน และรายงานผล
-เน้นย้ำที่การใช้ภาษา วิเคราะห์ และฝึกปฏิบัติ (Analysis and practice)

รูปแบบการสอนโดยใช้ ICT
-เวิล์ดไวด์เว็บ (World Wide Web)
-ใช้สำหรับเป็นแหล่งความรู้เพื่อการสืบค้น
-อีเมล์ (e-mail)
-ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างอาจารย์หรือเพื่อนร่วมชั้นเรียนด้วยกัน
-กระดานข่าว (web board)
-ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียนเป็นกลุ่ม ใช้กำหนดประเด็นหรือกระทู้ตามที่อาจารย์กำหนด หรือตามแต่นักเรียนกำหนด เพื่อช่วยกันอภิปรายตอบคำถามในประเด็นที่เป็นกระทู้นั้น ๆ
-แชท (Chat)
-ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียน โดยสนทนาแบบเวลาจริง (Real time) โดยมีทั้งสนทนาด้วยตัวอักษรและสนทนาทางเสียง (Voice chat)
ไอซีคิว (ICQ)
-ใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์และผู้เรียนโดยการสนทนาแบบเวลาจริง หรือจากนั้นแล้วเก็บข้อความไว้
คอนเฟอเรนซ์ (Conference)
-ใช้ติดต่อสารสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์ และผู้เรียนแบบเวลาจริง โดยที่ผู้เรียนและอาจารย์สามารถเห็นหน้ากันได้โดยผ่านทางกล้อง ใช้บรรยายให้ผู้เรียนเสมือนว่ากำลังเรียนอยู่ในห้องเรียนจริง ๆ
การบ้านอิเล็กทรอนิกส์

-ใช้สำหรับติดต่อสื่อสารระหว่างผู้เรียน อาจารย์เป็นเสมือนสมุดประจำตัวนักเรียน โดยที่นักเรียนไม่ต้องถือสมุดการบ้านจริง ๆ และใช้ส่งงานตามที่อาจารย์กำหนด เช่น ให้นักเรียนรายงานโดยที่อาจารย์สามารถเปิดดูการบ้านอิเล็กทรอนิกส์ของนักเรียนและเขียนบันทึกเพื่อตรวจงาน และให้คะแนนได้